รีวิว A Silent Voice

จะว่าไป ผมรู้จักเรื่องราวของ รักไร้เสียง (A Silent Voice) หรือ Koe no Katachi ครั้งแรก ก็จากที่มีกระแสพูดถึงผลงานมังงะของโยชิโทกิ โออิมะ ซึ่งลงเป็นเรื่องสั้นจบในตอน หรือ วัน-ช็อต ในนิตยสาร Bessatsu Shounen ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ซึ่งต่อมาก็ได้รับแรงสนับสนุนจนได้เขียนเป็นเรื่องยาวลงต่อเนื่องในนิตยสาร Weekly Shounen Magazine ดูการ์ตูนออนไลน์ ดูการ์ตูน

 

จนเกือบ ๆ 1 ปีจึงจบลง โดยสามารถนำมารวมเล่มได้ถึง 7 เล่มจบ (อันนี้ฉบับภาษาไทยได้สำนักพิมพ์รักพิมพ์ทำออกมาจนจบแล้วเช่นกัน) มังงะเรื่องนี้ยังทำให้โออิมะคว้ารางวัลศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี 2015 ของงานด้านมังงะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรางวัลหนึ่งของญี่ปุ่นอย่าง Tezuka Osamu Cultural Award ครั้งที่ 19 ด้วย

 

ใครที่อยากซึมซับบรรยากาศของเรื่องนี้ได้เต็มที่แนะนำให้อ่านฉบับเรื่องสั้นวัน-ช็อตนี้ก่อนเลยครับ โดยก็พอหาได้ไม่ยากจากการกูเกิ้ลเอา รักไร้เสียง เล่าเรื่องราวของตัวละครนำในวัยประถมศึกษาอย่าง อิชิดะ โชยะ เด็กหนุ่มที่เป็นเหมือนหัวโจกของเพื่อน ๆ ผู้ชาย ซึ่งบังเอิญให้ได้ต้องมารู้จักกับ นิชิมิยะ โชโกะ เด็กสาวที่เพิ่งย้ายมาใหม่

 

รีวิว A Silent Voice

 

ที่สำคัญเธอพิการทางการได้ยินต้องใช้เครื่องช่วยฟังและภาษามือ ตลอดจนสมุดโน้ตในการสื่อสารกับคนรอบข้าง แรกเริ่มทุกอย่างดูราบรื่นจนกระทั่งเมื่อความพิการของโชโกะทำให้คนอื่นรู้สึกเป็นภาระ ทั้งเพื่อนร่วมชั้นหรือแม้แต่อาจารย์เองก็ตาม ทุกคนจึงเริ่มเย้นชาตีตัวออกห่าง จนกระทั่งถึงกับลงมือกลั่นแกล้ง ตรงนี้เองที่โชยะเริ่มเข้ามาแกล้งโชโกะมากขึ้นด้วยความ

 

คึกคะนองในฐานะที่ตัวเองเป็นหัวโจก แม้โชโกะจะพยายามอย่างมากในการมีเพื่อน แต่ก็ดูเหมือนอุปสรรคในการสื่อไปถึงใจใครสักคนแสนยากเย็น เมื่อการกลั่นแกล้งหนักข้อเข้า แม่ของโชโกะจึงให้โชโกะย้ายโรงเรียน ในขณะที่ทุกคนต้องการหาแพะมารับความรู้สึกผิดต่อโชโกะ โชยะจึงถูกตราหน้าว่าเป็นอันธพาลและเริ่มกลายเป็นฝ่ายที่ถูกเพื่อน ๆ เย็นชาใส่จนสุดท้ายก็ถูกกลั่นแกล้งไม่ต่างจากโชโกะเลย

 

จนเวลาล่วงเลยไปจากประถมสู่มัธยมปลาย ที่แม้จะผ่านไปหลายปีแต่โชยะก็ยังแปลกแยกและไม่กล้าจะคบค้าสมาคมสนิทใจกับใครอีกเลย โชยะที่เข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของโชโกะที่ไม่มีเพื่อนสักคน เขาจึงพยายามเรียนภาษามือ และตามหาโชโกะเพื่อขอโทษ เพื่อขอเธอเป็นเพื่อนอีกครั้ง.. ในเรื่องสั้นเรื่องราวจบเพียงเท่านี้แต่ในมังงะเรื่องยาวนั้นก็ได้ขยายความรู้สึกและเรื่องราวหลังจากนั้นไปอีกค่อนข้างมาก ทั้งยังมีตัวละครออกมาอีกมากมายทั้งเพื่อนเก่าที่ไม่อาจมองหน้าติด และ

 

รีวิว A Silent Voice

 

เพื่อนใหม่ที่พระเอกไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ จาก เรื่องราวของการกลั่นแกล้งกันในฌรงเรียน เรื่องของคนพิการในสังคมคนปกติ ก็เริ่มหวานขึ้นด้วยเรื่องราวความรักที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นช้า ๆ และเหนืออื่นใดทั้งเรื่องนี้คือเรื่องที่ว่าด้วยคำว่า เพื่อน และความสัมพันธ์ ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนเคยผ่านช่วงเวลา

 

ที่ทะเลาะกับเพื่อนหรือเข้าใจผิดกันยาวนานเช่นนี้แน่ ๆ เรื่องราวเหล่านี้เองที่เป็นเนื้อหาที่ถูกนำมาถ่ายทอดในอนิเมชั่นความยาวสองชั่วโมงที่เราได้ชมกัน สำหรับฉบับภาพยนตร์อนิเมชั่นนี้ได้มีการประกาศงานสร้าง ตั้งแต่ครั้งที่ลงตีพิมพ์ตอนจบในนิตยสารราว ๆ เดือนพฤศจิกายน 2014 และได้ออกฉายจริงที่ประเทศบ้านเกิดเมื่อเดือนกันยายนปีก่อนนี้เอง ซึ่งประสบความสำเร็จจากโรงฉายที่ไม่ได้มากมาย เท่าอนิเมชั่นที่คุมโรงก่อนหน้าอย่าง Your Name (2016) แต่สามารถขายบัตรในสอง

 

วันแรกได้ไปถึง 2 แสนใบ และมียอดซื้อตั๋วตลอดโปรแกรมฉายถึง 1.6 ล้านใบทีเดียว อันนี้นับว่าเป็นระดับปรากฏการณ์สำหรับอนิเมชั่นสายดราม่าแบบสมจริงที่ไม่มีเรื่องแฟนตาซีมาช่วยเลยทีเดียว โดยได้บริษัทอนิเมชั่นชั้นนำอย่าง เกียวโตอนิเมชั่น หรือที่คออนิเมะจะเรียกสั้น ๆ ว่า เกียวอนิ มารับหน้าที่ควบคุมการผลิต ซึ่งหายห่วงเลยเรื่องฝีมือ เพราะผ่านงานชิ้นโบว์แดงยอดนิยมอย่าง The Melancholy of Haruhi Suzumiya และ K-On! มา

 

รีวิว A Silent Voice

 

เป็นอาทิ ยิ่งได้ผู้กำกับ ยามาดะ นาโอโกะ ที่ทำทั้งสองเรื่องที่ว่ามานั้นมากำกับด้วยตนเอง ทั้งยังได้ โยชิดะ เรโกะ ที่มีผลงานเขียนบทอนิเมชั่นมากมายซึ่งรวมถึง The Cat Returns (2002) มาดัดแปลงบทให้ด้วยแล้ว ยิ่งยืนยันถึงความตั้งใจของผู้มีส่วนร่วมที่อยากปั้นให้เรื่องราวแสนละเมียดละไมของรักไร้เสียงนั้นถูกถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุดของที่สุดเลยทีเดียว

เรื่องย่อ รีวิว A Silent Voice

หากพูดในฐานะคนที่เคยอ่านมังงะมา ทั้งวัน-ช็อต และเรื่องยาว ก็ขอบอกว่าหนังเก็บบรรยากาศมาได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว ทั้งเพลงประกอบ ทั้งลายเส้น ทั้งมุมกล้อง และการตัดต่อเรื่องราวให้อยู่ใน 2 ชั่วโมงนั้น เรียกว่าอิ่มมาก ๆ เป็นข้อได้เปรียบสำคัญเลยที่จะทำให้หลงรักอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้สุดลิ่มยิ่งกว่าคนที่ไม่เคยดูเคยอ่านมาก่อน แต่หากพูดในมุมของคนที่ไม่เคยอ่านมังงะมาก่อนเลย ก็ค่อนข้างปะติดปะต่อเรื่องราวช้ากว่านิดหนึ่งเพราะฉบับหนังโรง เลือกเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องใน

ช่วงต้นพอประมาณมีการตัดสลับเวลา ทั้งการอธิบายความรู้สึกหรือเหตุผลใด ๆ ที่เป็นประเด็นดราม่า ของตัวละครก็ไม่ได้พูดออกมาชัดนัก หรือถึงพูดออกมาก็ยากจะเข้าใจในทีแรกทันที ตรงนี้อาจทำให้บางคนหลุดไม่อินไปได้เหมือนกัน แต่หนังก็ทดแทนด้วยฉากตลกที่ทำให้หนังไม่น่าเบื่อและน่าติดตามมากขึ้น และน่าจะเข้าใจสาระเรื่องของอุปสรรค

การสื่อสารระหว่างคนที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของความพิการเท่านั้นที่ขวางกั้นอยู่ได้ไม่ยาก และแม้จะมีช่องโหว่มากมาย กระนั้นก็ยังพูดได้ครับว่ามันเป็นอนิเมชั่นน้ำดีที่คอหนังทั่วไปไม่ควรพลาดเลย และต้องบอกว่านี่ไม่ใช่อนิเมชั่นที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับอนิเมชั่นที่เรา ๆ เคยดูมาอย่างพวกจิบลิ หรืออย่าง Your Name ได้เลย คือถ้าชอบ

แนวนั้นอาจจะไม่โอเคเท่าไรด้วย หนังเรื่องนี้ออกไปแนวหนังดราม่าวัยรุ่น การข้ามพ้นวัย มิตรภาพและความสัมพันธ์ที่สมจริงมากกว่า ทั้งเรื่องรักก็ดูจะสำคัญรอง ๆ ลงไปเสียด้วยซ้ำครับ ถ้านึกอารมณ์น่าจะชวนให้นึกถึงอนิเมชั่นอย่างพวก 5 cm per second (2007) ของ มาโกโตะ ชินไค ในแบบที่ไม่ฟูมฟายเรื่องรัก หรือ Ano Hana ในแบบที่ไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติเสียมากกว่า

คือถ้าชอบแบบดราม่าสมจริงและฟีลกู้ดนี่สมควรโดนมาก ๆ ครับ จะประทับใจสุด ๆ แต่ถ้าไม่ชอบก็คงเหลือลายเส้นกับเพลงที่งดงามมาก ๆ กับคาแรกเตอร์ที่ออกแบบมาได้อย่างมีเสน่ห์และมีอารมณ์ขันหลายฉากให้จับต้องอยู่ดี ซึ่งอยากเชียร์ให้ไปชมกัน นะโดยเฉพาะประเด็นเรื่องความพิการ และการกลั่นแกล้งที่เป็นดราม่าของเรื่องนี่ประทับใจและสอนใจได้ดีมาก ๆ ครับ และถ้ามีเวลาอยากให้ลองไปหาอ่านมังงะตัวฉบับวัน-ช็อตด้วยจริง ๆ จะอิ่มเอมสุด ๆ

เราไม่เคยรู้จักและไม่เคยอ่านการ์ตูนมังงะ A Silent Voice หรือ Koe No Katachi มาก่อน ครั้งแรกที่เห็นเทรลเลอร์ของการ์ตูนอะนิเมะเรื่อง A Silent Voice ซึ่งชื่อไทยว่า รักไร้เสียง นี่ก็นึกว่าเป็นการ์ตูนแนวรัก ๆ โรแมนติกเหมือน Your Name ที่ประสบความสำเร็จเปรี้ยงปร้างในบ้านเราเมื่อปลายปีที่แล้ว แต่เอาเข้าจริง A Silent Voice เป็นการ์ตูนที่ดาร์ค รุนแรง และมีความเรียลอยู่ไม่น้อย เป็นการ์ตูนสะท้อนสังคมญี่ปุ่น ชีวิตวัยรุ่นกับมิตรภาพ ที่มาพร้อมกับปัญหา bullying, violence, และ suicide ซึ่งหลายฉากไม่ค่อยเหมาะกับเด็กนัก

พอไม่ใช่หนังรักแบบ Your Name คนดูทั่วไปก็อาจจะอินน้อยกว่า โดยส่วนตัวเราก็ยอมรับว่าเราไม่อินกับตัวละครใน A Silent Voice เท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เพราะหนังไม่ดีอะไร แต่แค่เพราะเราในสมัยเด็กไม่ค่อยมีประสบการณ์โดยตรงกับเคส bullying เท่าไหร่ก็เท่านั้น ตรงกันข้าม เรากลับรู้สึกจริง ๆ ว่านี่เป็นหนังการ์ตูนที่ดี ตีแผ่สังคม และทำให้เราเข้าใจคนอีกกลุ่มหนึ่งมากขึ้น

เราเชื่อว่าคนที่เคยถูก bullied หรือเคยเจอเหตุการณ์ bullying กับคนใกล้ตัวคงจะอินมันมาก ๆ จนน้ำตาไหล แต่สำหรับเรา ถึงแม้จะอยู่ในฐานะของคนคนหนึ่งที่เคยรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากสังคมส่วนใหญ่อยู่บ้าง แต่เราก็ไม่เคยมองปัญหาและไม่เคยคิดพยายามจะก้าวข้ามผ่านปัญหาหรือความรู้สึกนั้นด้วยวิธีการแบบตัวละครในเรื่อง เราเลยไม่ได้อินอย่างที่ควรจะเป็น

เรื่องของเรื่องเริ่มต้นสมัยตัวละครอยู่ ป.6 กัน เด็กหญิงหูหนวก Shoko Nishimiya ย้ายมาใหม่ ถึงแม้เธอจะพยายามทำดี แต่เธอก็เข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ ที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือเธอโดน Shoya Ishida จอม bully กลั่นแกล้งเธออย่างรุนแรงทุกวัน ห้าปีผ่านไป ต่างคนก็ต่างแยกย้ายและโตขึ้น แต่คราวนี้ Shoya กลายเป็นคนแปลกแยกที่ไม่มีใครคบเสียเอง เขาได้กลับมาเจอ Shoko อีกครั้ง และพยายามแก้ไขทุกอย่างที่เคยทำไว้ในวัยเด็ก ถึงแม้นางเอกจะมีความน่าสงสารด้วยธรรมชาติ

รีวิว A Silent Voice

หรือความ disablility ของเธอที่ทำให้เธอแตกต่างจากเพื่อน แต่ความไม่เข้าพวกของเธอจริง ๆ แล้วหาใช่ความพิกลพิการ หากคือความเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลายของเธอ ดีจนเหมือนเธอมีข้อเสียอยู่ข้อเดียวคือความอ่อนแอ บางครั้งเราก็ไม่รู้จะเรียกว่า โชคดีหรือโชคร้าย ที่เธอไม่ต้องมาได้ยินคำล้อเลียนจากเพื่อนร่วมชั้น แต่ที่ร้ายแรงแน่ ๆ คือ ถึงเธอจะไม่ได้ยิน แต่เธอก็ยังโดนรังแก physically ซึ่งนั่นก็ฝากแผลใจให้กับเธอไม่น้อยไปกว่า abusive words ที่เธอไม่ได้ยิน

 

ตัวละครที่เป็นคนปกติคนอื่น ๆ รวมถึงตัวพระเอก ต่างมีความเป็น monster กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม แสดงออกมากหรือแสดงออกน้อย จะเห็นได้ว่าทุกคนพยายามทำตัว mean เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในหมู่คณะ ตอนนั้นพระเอกก็ ไม่เข้าใจว่าทำไมนางเอกต้องทำตัวดีตลอดเวลา มันแปลก ทำไมไม่พยายาม fit in กับคนอื่น ทั้งที่ตัวเองและเพื่อน ๆ ในชั้นยังไม่พยายามที่จะเรียนรู้ภาษามือเพื่อสื่อสารกับเธอเลยด้วยซ้ำ แล้วบ่อยครั้งก็คิดเองเออเอง เข้าใจอะไรไปผิด ๆ

 

ถึงจุดนี้ เรากล้าพูดได้ว่า สิ่งหนึ่งที่คนดูทั่วไปอาจจะรู้สึกมีอารมณ์หรือประสบการณ์ร่วมกับพระนางในหนังเรื่องนี้คือ ตัวละครแต่ละตัว ทั้งตัวละครหลักและสมทบ ล้วนแต่ดูมีอยู่จริงในโรงเรียนของเราแต่เล็กจนโต คือดูแล้ว เราต้องนึกถึงเพื่อนสมัยเรียนอย่างน้อยสักคนหนึ่งบ้างแหละ เราล้วนเคยเจอคนที่meanหรือไม่เราเองด้วยซ้ำที่เคยmeanกับคนอื่นไม่มากก็น้อยแต่ความmeanบางครั้งก็ไม่ได้แปลว่าเขาbadเสมอไปอย่างพระเอกเนี่ยอย่างน้อยที่สุดคือเขาเติบโตเขาค่อย ๆ เรียน

 

รู้คำว่า ‘เพื่อน’ ที่แท้จริง เขาค่อย ๆ เข้าใจ สำนึกผิด และพยายามแก้ไข แต่แค่สังคมแช่แข็งความคิดตัวเองไปแล้วว่า อีตานี่เป็น bully มันก็ต้องเป็น bully ตลอดไป และเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่ได้ bully แบบอีตานี่ คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่รุนแรงหนักหนาเท่าที่อีตานี่ทำ โดยลืมคิดไปว่า จะมากจะน้อย จะหนักจะเบา กรรมก็คือกรรม ทำก็คือทำ

 

และส่งผลลัพธ์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น หนังเล่าเรื่อย ๆ และค่อนข้างยาว (2 ชั่วโมง 9 นาที) บางช่วงเราก็เบื่อ แต่ยังดีที่มันยังพอมีมุกหรือตัวละครตลกโปกฮา และเราก็ชอบการเล่าเรื่องด้วยภาพหลาย ๆ อย่างของหนัง อย่างเช่น พระเอกในวัยรุ่นกลายเป็นคนไม่เอาสังคม (หรือสังคมไม่เอาเขา)

จึงไม่ค่อยสบตาใคร ดังนั้นภาพหลายภาพ ซึ่งเป็นมุมมองของพระเอก ส่วนใหญ่จึงเป็นภาพมองต่ำ ยังไม่นับที่การ์ตูนเอาเครื่องหมายกากบาทมา cross หน้าทุกคนที่อยู่ในสายตาของพระเอกด้วยอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแปลกดี ถ้าไม่ใช่การ์ตูนอาจทำแบบนี้ไม่ได้ ความน่าสนใจคือ พระเอกที่เคยมีเพื่อนมีฝูง แต่เขากลับกลายเป็นคนที่พูดได้แต่ไม่ค่อยได้พูด สูญเสียเพื่อนและการยอมรับทางสังคมไปแทบสิ้นได้อย่างไร? คำตอบคือ ทุกคนไม่ได้เกลียดเขาที่เขาชอบ bully จริง ๆ แต่ทุกคนเริ่มเกลียดเขา เมื่อเขาพูดความ

จริงบางอย่างเกี่ยวกับคนอื่น แล้วนั่นเป็นความจริงที่คนคนนั้นไม่อยากได้ยินหรือไม่ยอมรับมันว่าตัวเขาทำ…ตัวเขาเองเป็น…โดยเฉพาะอะไร ๆ ที่มันแย่ ๆ ความเงียบในความหมายของ A Silent Voice หรือ เสียงที่ไม่ได้ยิน นี้ จึงมีความหมายที่ลึกซึ้ง และบางครั้งก็น่ากลัวกว่าที่คิด รีวิวอนิเมะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *