รีวิว DOTA Dragon’s Blood
จากเกม ‘DOTA’ ที่มีผู้เล่นมากที่สุดเกมหนึ่งของโลก ซึ่งสั่งสมความนิยมของตัวละครฮีโรในเกมของพวกเขาด้วยภูมิหลังและฝักฝ่ายที่ซับซ้อนชวนติดตาม ก็ได้รับการต่อยอดมาสู่แอนิเมชันซีรีส์ความยาว 8 ตอนทางเน็ตฟลิกซ์ และต้องยอมรับจริง ๆ ว่าคงไม่มีอะไรลงตัวไปมากกว่านี้อีกแล้ว ดูการ์ตูนออนไลน์ ดูการ์ตูน
ความหวั่นใจแรก ๆ ของแฟนเกมที่คงมีต่อการดัดแปลงไปในสื่ออื่นอย่างหนังหรือซีรีส์ คงไม่พ้นการทำลายคุณค่าของผลงานดั้งเดิมอย่างเช่นที่เกมหลาย ๆ เกมล้วนเผชิญมาถ้วนหน้า ยิ่งสตูดิโอผู้สร้างครั้งนี้คือ ‘สตูดิโอเมียร์ (Studio Mir)’ สตูดิโอสัญชาติเกาหลีที่ก่อตั้งจากอดีตผู้กำกับซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ และมีผลงานเด่นในลายเส้นแบบคอมิกสไตล์ตะวันตกอย่าง ‘The Legend of Korra’
และเริ่มมาจับแนวเด็กโตด้วยเนื้อหาที่ผู้ใหญ่ขึ้นในปี 2018 อย่าง ‘The Death of Superman’ ซึ่งอย่างที่บอกมันมีโอกาสสูงเหมือนกันที่จะถ่ายทอดตัวเกมที่ซับซ้อนออกมาได้กลิ่นเดิม และดูสนุก ทว่าสิ่งที่ผู้ควบคุมงานสร้างอย่าง แอชลีย์ เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ (Ashley Edward Miller) ซึ่งเคยเขียนบทหนังอย่าง ‘Thor’ (2011) และ ‘X: First Class’ (2011) รวมถึงซีรีส์ ‘Terminator: The Sarah Connor Chronicles’ (2008-2009) มาก่อน เมื่อมาคุมการเล่าเรื่องในแอนิเมชันซีรีส์เรื่องนี้ เขาก็สามารถคงเอกลักษณ์ของตัวละครดังในเกม เอามาเล่าเรื่องรวมกันได้อย่างน่าสนใจมาก ๆ
ซึ่งต้องบอกว่ามันเป็นรสประหลาดที่ไม่ได้เจอกันบ่อย ๆ เพราะมันย่อยยากสากลิ้น แต่อร่อยแบบทานยากนี่ล่ะ ใช่ มันคือรสชาติดาร์ก ๆ แบบผู้ใหญ่ ที่บอกว่าเหล้าขม ๆ มันหอมหวานนั่นเอง ตัวซีรีส์เปิดตัวด้วยการล่าสังหารมังกรของ พระเอกหนุ่มอย่าง ดาเวียน ดรากอนไนท์ ชายผู้สูญเสียครอบครัวไปด้วยฝีมือมังกรและปฏิญาณตนว่าจะล่าสังหารมังกรให้ได้มากที่สุดเพื่อป้องกันเด็ก ๆ ที่จะมีชะตากรรมแบบเดียวกับเขา ก่อนที่เขาจะไปพัวพัน
กับการแย่งชิงอำนาจของพลังเหนือโลกจนบังเอิญไปผสานชีวิตกับมังกรที่ตนรังเกียจกลายเป็นคำสาปที่เขาต้องหาทางแก้ไข ซึ่งนี้เป้นเหมือนเส้นเรื่องหลักที่แทนสายตาผู้ชมติดตามดาเวียนออกไปสัมผัสโลกเวทย์มนต์และมังกรได้อย่างเข้าใจง่าย และน่าติดตามด้วยรสแบบดราม่าผสมการผจญภัย ทว่าซีรีส์ไม่ได้เล่าอะไรง่าย ๆ นักเลย แค่ฉากการพรรณนาการกำเนิดโลก และการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพลังความดีความชั่ว มิติจักรวาลช่วยต้นตอนแรกก็บอกได้เลย
เต็มไปด้วยชื่อแปลก ๆ สำหรับคนไม่ได้เล่นเกม คือโคตรงง งงจริง ๆ พอจับใจความภูมิหลังของโลกในเรื่องแทบไม่ได้ ซ้ำระหว่างทางของตัวละครที่ต้องพบเจอตัวละครใหม่ ๆ เผ่าใหม่ ๆ ความเชื่อต่อเทพีที่แตกต่างกันผู้สร้างก็ไม่ได้สนใจมานั่งอธิบายว่าอะไรเป็นอะไร ซ้ำร้ายบางครั้งเราได้ดูเพียงตัวละครอ่านหนังสือแล้วได้เข้าใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเราไม่เห็นไม่ทราบด้วยเลยก็มี
แต่แปลกมากเพราะแทนทีมันจะถีบยอดหน้าผู้ชมให้ออกห่าง แต่มันกลับสร้างความอยากรู้อยากเห็น เพิ่มเพ่งสมาธิในการทำความเข้าใจเรื่องมากขึ้น แล้วมันก็ไม่ได้ยากนักที่จะเข้าใจในที่สุด พอเรื่องเล่าไปแล้วเราเข้าใจอะไรมากขึ้นมันก็ขยายความคิด ของผู้ชมออกไปอย่างกว้างขวาง และพบว่าโลกนี้มันสีเทา ตัวละครอยู่บนทางหลายแพร่งมากทางเลือกที่ไม่รู้ผิดรู้ถูก เป็นความฟินในการชมที่บันเทิงสมองมาก ๆ
เนื้อเรื่อง รีวิว DOTA Dragon’s Blood
สำหรับคนไม่ได้เล่นเกมมันเหมือนการอ่านหนังสือสนุก ๆ แบบเปิดอ่านผ่ามากลางเล่มแล้วเข้าช่วงมัน ๆ พอดี แต่กับคนที่เล่นเกมยิ่งจะน่าฟินเข้าไปอีกเพราะได้เห้นตัวละครที่เล่นมีชีวิตจิตใจตรงหน้า และถ้ากลัวว่าจะหมดลุ้นเพราะรู้จักภูมิหลังมาแล้ว ขอโทษตัวซีรีส์ใส่ตัวละครใหม่ ๆ แถมไม่ได้มาแค่ประกอบ ๆ ไปเท่านั้น แต่มีเส้นเรื่อง มีมิติตัวละครที่โคตรน่าสนใจทั้งยังส่งผลสำคัญกับเนื้อเรื่องด้วย แฟนเกมน่าจะเดาอะไร ๆ ยากขึ้น รับรองเบื่อไม่ลงแน่
นอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้แอนิเมชันเรื่องนี้ไม่เครียดและปรัชญาเกินไป คือฉากการต่อสู้ที่บอกเลยว่าโคตรอลังการ มันมีตั้งแต่นักรบเก่ง ๆ ดวลกัน ไปจนถึงคนปะทะมังกรยักษ์ และมังกรยักษ์ฟัดกันเอง มีทั้งบนพื้น ในป่า บนฟ้า คือสเกลมันใหญ่มาก แต่กลับไม่เว่อ เราอินได้แทบทุกฉาก ลุ้นเอาใจช่วยได้ตลอดจริง ๆ ด้วยเรตแบบ 18+ ที่ถึงเลือดถึงเนื้อ แถมตัวละครก็ตายกันได้จริง ๆ (แค่จบตอนแรกเราก็มีเหวอแล้ว)
ทั้งนี้อย่างที่บอกว่าซีรีส์นี้ต้องจัดเป็นดาร์กแฟนตาซีแบบรสขม เหมือนหนังสือวรรณกรรมผู้ใหญ่ที่อ่านยาก ไม่ค่อยอธิบาย แต่ชวนสงสัยและติดตาม มีตัวละครหลากหลายกลุ่มที่มีเจตนาของตนเองเข้ามาปะทะและผสมผสานจนเนื้อเรื่องขับเคลื่อนไปอย่างเข้มข้น หยุดดูไม่ได้เลย
ซึ่งพอตอนที่ 8 ในซีซันแรกได้จบลง และเราพบทางที่ตัวละครแต่ละตัวเลือก ปริศนาภูมิหลังตัวละครจะคลี่คลายมากขึ้น เห็นฝั่งฝ่ายที่แบ่งชัดเจน แต่มันไม่มีขาวดำ เพราะออกเทา ๆ แทบทุกตัวละคร มันทำให้เห็นล่วงหน้าได้เลยว่าซีซันเปิดตัวยังกระหน่ำรสบู๊และคมคิดได้ขนาดนี้ ซีซันหน้า (ซึ่งคงต้องมี) มันต้องไปได้สุดติ่งอีกขนาดไหน
DOTA Dragon’s Blood (DOTA: เลือดมังกร) อนิเมชั่นซีรีส์แนวดาร์กแฟนตาซี พัฒนาโดย แอชลีย์ มิลเลอร์ ผู้สร้าง Terminator: The Sarah Connor Chronicles และร่วมเขียนบทหนังดังมากมาย ทั้ง เอ็กซ์เมน รุ่นหนึ่ง และ ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า ดัดแปลงจากวิดีโอเกมชื่อเดียวกันของ VALVE ร่วมทุนสร้างกับ Netflix Animation และ Studio Mir สตูดิโอสร้างอนิเมชั่นจากประเทศเกาหลีที่เคยฝากลายเส้นเอาไว้กับ Animation ชื่อดังอย่าง The Legend of Korra, The Death of
Superman (2018) โดยหยิบนำเรื่องราวของตัวละครในจักรวาลเกม MOBA ชื่อดังอย่าง เดเวียน นักรบผู้แสนทนทานที่ถ้าใครเป็นแฟนคลับ DOTA 2 จะต้องไม่พลาดแน่นอน ไหนจะพกตัวละครในเกมมาราวกับเซอร์วิสทั้งคนเล่นเกมและคนชอบโลกแฟน ตาซีสุดบรรเจิด และเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นระดับอนิเมชั่นตะวันตกเช่นเดียวกับ Castlevania, The Legend of Korra, Berserk แต่มันจะถึงขั้นสามเรื่องนี้หรือเปล่านะ
DOTA Dragon’s Blood คืออนิเมชั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์และการออกตามหาคำตอบของตัวละครเดเวียนที่ชีวิตพลิกผัน เชื่อว่าเกมเมอร์น้อยคนจะไม่รู้จัก DOTA2 เกมแนว MOBA วางกลยุทธ์และการใช้สกิลเพื่อเอาชนะและตีทัพอีก ฝ่ายให้ได้ ที่ได้รับการต่อยอดจากแม็พเล็ก ๆ ในเกมดังอย่าง WARCRAFT 3 : FROZEN THRONE ที่ดันได้รับความนิยมจนเกิดเป็นกระแสไม่แพ้กับเกมหลัก
รีวิว DOTA Dragon’s Blood
จนทำให้ผู้สร้างเกมนั้น เลือกที่จะทำเกมแนวเดียวกันออกมาโดยวาวล์ ค่ายเกมผู้ไม่นับ 3 ก็ได้นำไปต่อยอดจนเกิดเป็นภาค 2 ผมเองก็ไม่เคยเล่น แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับตัวละครที่เกมมันใส่เข้ามาเป็นแบ็คกราวด์ของเรื่องราวให้เราเข้าใจและรู้สึกอิน ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีวันได้หยิบนำมาทำเป็นอนิเมชั่นได้ โดยเป็นเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนใน
เกม เพราะด้วยที่จักรวาลนี้มันค่อนข้างกว้างใหญ่มาก แบบที่ผมไม่คิดว่าจะตามทัน ดังนั้นผมจะขอโฟกัสในฐานะของคนดูทั่วไปที่รู้จักเกมผ่าน ๆ ก็ขอบอกเลยว่าองค์ประกอบต่าง ๆ หรือเซอร์วิสจากเกม ผมอาจจะไม่สามารถอธิบายได้ เท่ากับการพูดถึงภาพรวมของอนิเมชั่นนี้นะครับ เอาล่ะ รู้กันแค่นี้คร่าว ๆ ไปแล้ว มาอ่านเรื่องย่อ
“ในโลกแฟนตาซีที่มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายทั้งมนุษย์ ปีศาจ เอลฟ์ และ เทพเจ้า โชคชะตาของนักรบขวัญใจผู้คนอย่าง เดเวียน ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลระหว่างการตามล่ามังกรโบราณที่ออกไล่ล่าผู้คน เมื่อเขาพลาดท่าถูกสังหารโดยมังกรผู้เปิดเผยความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเขา แต่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหญิง มิราน่า เจ้าหญิงแห่งจันทราและตะวันผู้ห้าวหาญที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ชะตากรรมทั้งคู่ประสานกัน พร้อม ๆ กับการเดินทางในโลกที่มีแต่ความชั่วร้ายและความไม่น่า
ไว้ใจ ทั้งหมดต้องร่วมมือกันที่จะเอาชีวิตรอดเพื่อเป้าหมายสูงสุด โดยไม่รู้ว่าชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการของพวกเขากำลังใกล้เข้ามา สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นเกม คุณจะเข้าใจเนื้อเรื่องได้ทันที เพราะซีรีส์จะเล่าปูคร่าว ๆ และด้วยความที่มันเป็นเนื้อเรื่องก่อนหน้าในเกม เราจะได้ทำความรู้จักตัวละครทีละคนที่โผล่มาแบบโต้ง ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนในแบบโลกแฟนตาซียุคโบราณ บวกด้วย
เรื่องแนว ๆ ผู้ถูกเลือกที่มีต้นกำเนิดเป็นพล็อตสำคัญของเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคนเล่นเกมก็อาจจะชอบเพราะรู้สึกได้ว่ามีอะไรหลาย ๆ อย่างในเรื่อง ท่วงท่าการต่อสู้ อาวุธหรือไอเท็มการบอกเล่าเรื่องราวตำนานมันค่อนข้างจะต้องเป็นคนที่เล่นเกม พอสมควรถึงจะรู้สึกถึงเซอร์วิสเกม แต่ในฐานะคนดูทั่วไป ผมมองว่ามันเล่าเรื่องธรรมดาไป และพล็อตมันก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเลย เนื้อเรื่องก็แอบมีมู้ดคล้าย ๆ กับซีรีส์จากเกมแฟนตาซีก่อนหน้าอย่าง เดอะวิชเชอร์ ที่ซับซ้อนน้อยกว่าและให้อารมณ์
เบากว่า เพราะการเล่าเรื่องก็เป็นเส้นตรง เล่าเป็นตอน ๆ สลับกับเหตุการณ์อีกฟากและแฟลชแบ็ค แถมจบตอนก็ไม่ได้รู้สึกอยากติดตามอะไร แต่ก็ต้องดูเพราะอยากเห็นว่าจะมีจุดพีคหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องผ่านสองตอนแรกไปให้ได้ซะก่อน ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ รู้อะไรเลย ถ้าใครเล่นเกมมาแล้วรู้สึกว้าวกับการตีความของฉบับเกมมาอยู่ในซีรีส์ก็พอเข้าใจได้ ในความยาวแต่ละตอนไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่สามารถเล่าจบเป็นประเด็น ๆ ไปมีสลับกับฉากสะเทือนอารมณ์ที่บางครั้งก็มาแบบดื้อ ๆ จนไม่สามารถอินได้เลย
อาจจะเพราะปูตัวละครมาค่อนข้างไม่มาก แล้วก็โยนพวกเขาเข้าสู่เรื่องราวทันทีเพราะความยาวของแต่ละตอนก็มีไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทำให้ในด้านการพัฒนาตัวละครแทบไม่มีเลย ช่วงครึ่งหลังซีรีส์จึงได้โหมกระหน่ำทั้งปมและความรุนแรงระดับ 18+ ที่ไม่มีเรื่องเซ็กส์มาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าฆ่ากันเลือดสาดก็มีหอมปากหอมคอพอให้เด็กเล็กที่ได้ดูกริ๊ดได้ เพราะงั้นไม่ควรให้คนอายุต่ำกว่า 18 ปีดูเด็ดขาด รีวิว อนิเมะ