รีวิว Dragon Quest Your Story

จากเกม RPG ชื่อดังของญี่ปุ่นมาสู่แอนิเมชันเรื่องยาว ที่เปิดตำนานผู้กล้าคนใหม่นามว่า ริวกะ ที่จะออกผจญภัยตามคำทำนายในโลกแฟนตาซีในแบบฉบับ ดรากอนเควสต์ ที่เราคุ้นเคย เป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันที่น่าจะมีคนรอดูอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะคอเกมเมอร์ที่เติบโตมากับเกมภาษา หรือ RPG (Role-playing Game) จากฝั่งญี่ปุ่น และเกมที่โด่งดังเป็น 2 เสาหลักที่แข่งกันมาตั้งแต่ยุค 1980s และยังมีผลงานต่อเนื่องมาถึง ดูการ์ตูนออนไลน์ ดูการ์ตูน

 

ปัจจุบันก็ต้องยกให้ Final Fantasy (ออกครั้งแรกปี 1987) และที่ออกมาก่อนอย่าง Dragon Quest (ออกครั้งแรกปี 1986) ซึ่งถ้าพูดถึงเกมหลังก็ต้องบอกว่าด้วยสไตล์ภาพอันเป็นเอกลักษณ์จากลายเส้นของ อาจารย์โทริยามะ อากิระ ผู้โด่งดังจากมังงะ เรื่อง Dragon Ball ที่มาดีไซน์ตัวละครต่าง ๆ ให้ และความโดดเด่นในการออกแบบโลกในจินตนาการของ โฮริอิ ยูจิ ตั้งแต่ภาคแรกมาก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ตัวเกมโดดเด่นและเป็นที่จดจำได้ โดยเฉพาะเรื่องของ ผู้กล้า เวทมนตร์ ปีศาจ แม่มด และปีศาจประจำเกมอย่าง สไลม์ นั่นเอง ความเด่นของมันก็ทำให้ตัวเกมถูกถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อต่าง ๆ ทั้ง นิยาย มังงะ และแอนิเมชันด้วย

 

รีวิว Dragon Quest Your Story

 

สำหรับตัวแอนิเมชันนั้นเคยมีการสร้างออกมาเป็น ทีวีซีรีส์ 2 ครั้งคือฉบับที่ดัดแปลงจากตัวเกมภาค 3 กับอีกครั้งคือการต่อยอดจากฉบับมังงะที่ใช้เกมเป็นแรงบันดาลใจอย่าง Dragon Quest: Dai’s Great Adventure ที่คนไทยน่าจะรู้จักดีในชื่อได ตะลุยแดนเวทมนตร์ ส่วนฉบับหนังโรงก็มีการทำออกมาในปี 1996 ในชื่อ Dragon Quest Saga – The Crest of Roto และหลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าห่างหายจากคอแอนิเมชันไปสิบกว่าปีเลยทีเดียว  ครั้นพอมีการประกาศทำฉบับแอนิเมชัน 3 มิติใน

 

ชื่อ Dragon Quest: Your Story ออกฉายช่วงเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาในญี่ปุ่นโดยเอาแรงบันดาลใจจากเกมภาค 5 ซึ่งมีเนื้อเหาที่ดีติดอันดับต้น ๆ ของแฟรนไชส์มาทำ และพอเน็ตฟลิกซ์คว้าสิทธิ์มาฉายสตรีมมิงก็ทำให้แฟนเกมและแฟนแอนิเมชันนอกญี่ปุ่นตื่นเต้นอยู่มากทีเดียว

 

รีวิว Dragon Quest Your Story

 

ต้องยอมรับว่าคะแนนรีวิวจากฝั่งเมืองนอกนั้นออกมาดูไม่ค่อยดีจนเราใจแป้วอยู่เหมือนกัน (imdb ได้ 6.3/10 ส่วนในญี่ปุ่นออกมาราว 2.1/5) แต่ส่วนตัวพอได้ดูจนจบแล้วกลับอยู่ในกลุ่มคนที่ชอบหนังมากกว่า ทั้งนี้ก็ต้องว่าไปตั้งแต่เรื่องงานภาพที่คงเอกลักษณ์จาก 2 มิติที่เป็นลายเส้นของโทริยามะ อากิระมาทำเป็น 3 มิติได้อย่างสวยงามมีความละมุนแบบงานแอนิเมชัน 3 มิติญี่ปุ่น (นึกถึงงานอย่าง Stand by Me Doraemon หรือล่าสุดที่น่าดูเหมือนกันอย่าง Lupin III – The First ที่กำลังจะเข้า

 

ฉายในไทย และอาจเป็นสไตล์เฉพาะของหนัง ยามาซากิ ทาเคชิ ผู้กำกับที่ทำหนังทั้ง 3 เรื่องนี้ รวมถึงหนังดังอย่าง Kiseijuu และ Always: Sunset on Third Street)  ซึ่งมันทำให้ตัวการ์ตูนแบบญี่ปุ่นยังดูสวยและไม่ต้องฝืนเปลี่ยนให้เป็นอเมริกันมากนักแต่ก็ได้ความเป็นสากลด้านภาพ ตรงนี้หนัง Dragon Quest: Your Story ถือว่าทำได้ดีทีเดียว ที่ประทับใจนอกจากคาแรกเตอร์ดีไซน์ที่ได้อารมณ์ใกล้เดิมแฟนเกมน่าจะมียิ้มแก้มปริตอนที่ได้เจอสไลม์ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำแฟรนไชส์ ตลอดจนสาว ๆ ในหนังที่ทำออกมาน่ารักมุ้งมิ้งจริง

 

รีวิว Dragon Quest Your Story

 

ๆ ดูแล้วเคลิ้มตามพระเอก และอีกอย่างที่ดีก็คือการสร้างโลกจินตนาการออกมาได้สวยงามมาก เอฟเฟกต์เวทมนตร์ต่าง ๆ เรียกได้ว่าสวยตื่นตาตึงใจ แถมมีการผสมเทคนิกการนำเสนอไว้หลายแบบทีเดียวทั้งอินโทรด้วยภาพ 8 บิตแบบเกมยุคเก่า จนมาเป็นงานสามมิติสุดอลังการ ตรงงานภาพนี้ให้คะแนนได้ 10/10 เลยทีเดียว ส่วนที่มีดราม่ากันมากน่าจะมาจากเนื้อหาของหนังนี่ล่ะ ก็ขอวิจารณ์แบบสายตาคนที่มองเป็นหนังเรื่องหนึ่ง มากกว่าเป็นหนังจากเกมภาค 5 แล้วกันนะครับ ซึ่งตอนแรกก็ยอมรับเลยว่าออกจะเฉย ๆ มากกับเรื่องที่เดินมาตามสูตรผู้กล้าทั่วไปที่มีคำทำนาย

เริ่องย่อ รีวิว Dragon Quest Your Story

นั่นนี่ผูกตัวละครอย่าง ริวกะ ไว้ จนออกจะไม่ชอบเสียด้วยซ้ำว่าทำไมต้องรีบเล่าเรื่องเสียขนาดนั้น ทำเอาช่วงหนึ่งเกิดรอยโหว่ในพลอตอยู่เหมือนกันเมื่อเรื่องข้ามเวลาไปอีก 10 ปี โดยตัวละครจากเด็กโตขึ้นเป็นหนุ่มแล้วเพิ่งมาคิดหนีออกจากรังปีศาจ และหลังจากนั้นหนังก็เดินเรื่องแบบฉึบฉับพอสมควรจนกระทั่งเริ่มกลับมาลื่นขึ้น เมื่อ ริวกะ เดินทางมาปราบปีศาจในเมืองของ เจ้าหญิงฟลอร่า เพื่อนวัยเด็ก และได้พบกับ เบียนก้า เพื่อนอีกคนที่มาผูกปมรักสามเส้าขึ้น จังหวะของหนังก็เริ่มลงตัวขึ้นมา

 

หลังจากนั้นแม้หนังจะมีการโดดข้ามเวลาบ้างแต่ก็อยู่ในจุดที่เข้าใจได้ ในจุดเหล่านี้เองที่บางคนจะมองว่าหนังเล่าข้ามส่วนสำคัญจากเกมต้นฉบับไปเยอะเกินไป แต่เอาให้แฟร์ก็คือด้วยเวลาจำกัด 103 นาทีของตัวหนัง ต้องยัดเรื่องราว 3 ชั่วอายุคนลง มาตั้งแต่รุ่นพ่อริวกะ-ริวกะ-จนมาถึงรุ่นลูก จะให้ไม่ตัดทอนอะไรเลยก็ดูจะยากเกินไปล่ะนะ พอมองในฐานะหนังเรื่องหนึ่งจึงพอเข้าใจได้และอาจแค่หักคะแนนการเล่าเรื่องในช่วงต้น แต่คงไม่ถึงกลับจะเกลียดตัวหนังได้ ที่สำคัญหนังยังรักษาพลอตที่เจ๋ง ๆ

 

 

ไว้เช่นว่าไม่จำเป็นผู้กล้าในคำทำนายเราก็สามารถสร้างตำนานได้ สมชื่อ Your Story ที่เราสามารถเขียนหน้าประวัติศาสตร์ด้วยตนเองจริง ๆ (และชื่อนี้ก็บิดเป็นอีกความหมายในตอนท้ายของหนังได้เจ๋งมาก ๆ ด้วย) และเมื่อดูไปจนจบเมื่อเฉลย

พลอตจริงของหนัง ก็เชื่อว่าไม่แปลกที่จะโดนแฟนเกมสาปส่งเพราะแฟนเกมคงต้องการมาดูเพื่อรำลึกช่วงเวลานอสตัลเจียในอดีตครั้งที่เล่นเกมเมื่อตอนปี 1992 แล้วต้องมาเจอการหักมุมของหนังในแบบที่ไม่ตั้งตัวมาก่อนก็ คงทำให้ผิดหวังเอามาก แต่เมื่อมองในฐานะคนดูหนังแล้ว หนังมันกล้าหาญ และใช้ข้อได้เปรียบในการเป็นหนังเล่าหัวใจที่อยากสื่อสารออกมาได้คมดีทีเดียว อาจจะมีเหวออยู่เหมือนกัน แต่ก็คุ้มค่ามาก ๆ ทั้งยังอธิบายได้ว่าจังหวะที่ไม่ลงตัวในตอนต้น

 

นั้นเพราะอะไร (ประโยคที่ตัวร้ายบอกว่า เวลาจริงผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงนั่นล่ะ) ไอ้ที่นึกในใจว่าไม่ชอบทั้งหลายก็หายหมด กลายเป็นว่าเป็นอีกหนึ่งแอนิเมชันที่ดีเลยล่ะ ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็ขอแนะนำว่าให้วางอดีตหวานกับตัวเกมลงแล้วอิ่มกับการตีความใหม่ของหนัง เป็นอีกเรื่องเล่าไปเลยจะดีกว่ามากนั่นล่ะ

 

 

ซึ่งตอบกันได้ง่ายๆเลยเพราะ “มันไม่ใช่หนังเรื่อง Dragon Quest V” ยังไงล่ะ มันเป็นหนังของใครก็ไม่รู้ที่กำลังเล่นเกมอยู่ ทั้งๆที่ทำเนื้อเรื่องตรงตามเกมไปก็ไม่มีปัญหาแล้วส่วนสาเหตุที่ทำไมถึงใส่ฉากสุดท้ายไปแบบนั้น ก็มีผู้วิเคราะห์ออกมาว่าทางผู้สร้างอยากจะส่งข้อความบอกว่า “การเล่นเกมก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย” และนี่คือสาเหตุหลักข้อที่สองที่ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกด่า

 

จริงอยู่ที่เกมเมอร์น่าจะเคยถูกบ่นว่า “เล่นเกมไปเสียเวลาเปล่า” “เล่นเกมไปมันจะได้อะไร” ซึ่งทีมงานผู้สร้างได้พยายามที่จะสื่อโดยเปรียบกับไวรัสเป็นเหมือน “สังคมที่ปฏิเสธการเล่นเกม” แล้วให้พระเอกเป็นตัวแทนของเกมเมอร์เอาชนะมันไปและนี่แหละคือสิ่งที่เกมเมอร์เกลียด เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการคำชมจากผู้สร้างหนัง พวกเขาแค่อยากจะดู Dragon Quest V และสนุกไปกับการผจญภัยเท่านั้น

 

 

ซึ่งผู้ที่ชอบเล่นเกมก็รู้ดีว่าการเล่นเกมมันก็เป็นเหมือนกับการฆ่าเวลา แต่เพราะมันสนุกนี่แหละถึงได้เล่นกัน และการเล่นเกมมันจะดีหรือไม่ดี มันเป็นเรื่องของอดีตที่พวกเขาคิดได้กันตั้งแต่ชาติปางก่อนแล้ว  จากหนังเรื่องนี้ทำให้เดาได้ว่าทีมงานผู้สร้างตามยุคสมัยไม่ทัน และพอขึ้นยุคปัจจุบันพึ่งจะมาคิดได้ว่า “เอ๊ะ เกมมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรรึเปล่านะ?” ก็เลยสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วก็พยายามที่จะส่งข้อความนี้เป็นของขวัญไปให้กับเหล่าเกมเมอร์เพื่อบอกว่า “เกมมันก็ดีนะ”

รีวิว Dragon Quest Your Story

แต่สำหรับเกมเมอร์แล้วมันไม่ใช่ของขวัญแต่ “มันเป็นเพียงขยะที่เน่าไปแล้ว” ซึ่งไอ้ขยะชิ้นนี้ถ้าส่งให้ประมาณซัก 30 ปีที่แล้วมันอาจจะโอเค แต่มันไม่โอเคในเวลานี้ คำตอบคือไม่สนุกเพราะมีการข้ามฉากตัดทอนเนื้อหาไปหลายฉาก ถ้าไม่ได้เล่นเกมมาก่อนตามเนื้อเรื่องกันไม่ทันแน่นอน แต่ถ้าใครที่เล่นเกมมาแล้วชอบ Dragon Quest V มากก็จะเกิดอาการตามข้อความด้านบน

 

ในภาพรวมแล้ว ในเมื่อมันเป็นภาคที่แฟนๆชอบมากขนาดนี้ เมื่อถูกนำมาดัดแปลงเป็นอนิเมชั่น แล้วพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงและตีความใหม่หลายๆอย่าง ไปจนถึงการดีไซต์ตัวละคร กับการตีความบุคลิกตัวละครสำคัญบางคนที่เปลี่ยนไปจากของเดิม ไปจนถึงขั้น “ตัดตัวละครสำคัญ” ที่มีบทบาทในตัวเกมออกไป แล้วที่ยิ่งกว่านั้นคือ “ฉากสุดท้ายในเรื่อง” ที่มีการเฉลยเรื่องราวในอนิเมเรืองนี้แบบหักมุมชนิดยิ่งกว่า 360 องศา แม้ว่าเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้หักมุมหนักขนาดนั้น เพราะเมื่อดูไประยะหนึ่ง หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยและมองออก แต่มันก็ทำให้แฟนๆเกมนี้

 

 

จำนวนมหาศาลที่มีความคาดหวังว่าจะได้เข้ามาดูเรื่องราวของ DQ 5 ในรูปแบบอนิเมชั่น ต้องผิดหวังไปตามๆกัน จนนำไปสู่การวิจารณ์ชนิดสับแหลกในญี่ปุ่นมาแล้ว ตรงนี้เองที่ทำให้น่าเสียดายว่า ด้วยความที่ตัวเรื่องทำลายความคาดหวังของแฟนๆ แต่อันที่จริงตัวอนิเมชั่นในภาพรวมแล้ว จะถือว่ามีคุณภาพที่ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นงาน CG กราฟฟิก โมชั่น การเคลื่อนไหว

 

ที่ทำออกมาได้ดี ไปจนถึงการเนรมิตฉากแอ็กชั่นจากในเกมและฉากการใช้เวทมนต์และคาถาๆต่างที่แฟนเกมคุ้นเคยให้ออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหว จะทำได้ดีพอสมควร รวมถึงเพลงประกอบ สกอร์ OST ต่างๆที่เป็นเพียงประจำของเกมซีรีส์นี้ที่ประพันธ์โดยสุดยอดวาทยากรระดับปรมาจารย์อย่าง

 

 

โคอิจิ สุงิยามะ แต่ละเพลงก็เข้าในแต่ละฉากได้ถูกจังหวะ อีกทั้งในแง่ของการดัดแปลงบทและเนื้อเรื่องให้เกมให้มีความกระชับและเล่าเรื่องราวในฉากสำคัญๆต่างๆให้อยู่ภายในเวลาจำกัด จะทำได้ระดับที่ดี โดยเฉพาะในช่วง 5 นาทีแรกของการเปิดเรื่อง เชื่อว่าแฟนเกมทุกคนต้องยินดีและปลื้มแน่ๆ

 

แต่แล้วทุกอย่างมันสวนทางไปเลยสำหรับ 5 นาทีสุดท้ายเสียอย่างนั้น (ในขณะที่ผู้เขียนเองพอรับกับตอนจบแบบนี้ได้ แต่ที่ไม่ชอบที่สุดคือ ตัดบทลูกสาวฝาแฝดทำไม เพราะในฐานแฟนเกมนี้ก็อยากเห็นภาพสมาชิกครอบครัวของตัวเอกอยู่กันพร้อมหน้าบนตัวภาพยนตร์สักครั้ง) รีวิว อนิเมะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *