รีวิว Mononoke
เจ้าหญิงจิตวิญญาณแห่งพงไพร นำเสนอสิ่งที่พวกเราหลายๆคนหลงลืม นั่นคือ เหตุผลของการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่แค่กับมนุษย์ด้วยกันในสังคม แต่รวมถึงเพื่อนสิ่งมีชีวิตร่วมโลก และธรรมชาติที่ต้องพึ่งพาอาศัย แต่กว่าที่สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ จะตระหนักได้ ทุกอย่างก็ล้วนสายเกินไปเสียแล้ว, “ต้องดูให้ได้ก่อนตาย”
Mononoke Hime เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องแรกที่ผมเขียน ก็รู้สึกว่าเขียนใช้ได้อยู่นะ แต่จุดประสงค์ของการ revisit ครั้งนี้ เพราะต้องการนำเสนอบทวิเคราะห์ แนวคิด และใจความของอนิเมะ ที่รู้สึกว่าตัวเองตอนนั้น ยังมองไม่เห็นความสวยงามแท้จริงที่ Hayao Miyazaki แอบซ่อนเอาไว้ ดูการ์ตูนออนไลน์ ดูการ์ตูน
Miyazaki มีแรงบันดาลใจแนวคิดเกี่ยวกับ หญิงสาวอาศัยอยู่ในป่าร่วมกับสัตว์อสูร มาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 70s แต่ยังหาเรื่องราวประกอบเป็นรูปเป็นร่างไม่ได้ หลายครั้งเขาพบความน่าสนใจอื่น พัฒนาจนกลายเป็น Nausicaä of the Valley of the Wind (1984), Castle in the Sky (1986), My Neighbor Totoro (1988) ฯ กระทั่งเดือนสิงหาคม 1994 ที่ Miyazaki ได้ค้นพบสิ่งที่เขาสนใจ จึงเริ่มต้นวาด Storyboard ของอนิเมะเรื่องนี้
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วง Medieval Japan/Muromachi Ero (ประมาณ ค.ศ. 1336 – 1573) นำเสนอจุดเริ่มต้นความขัดแย้งระหว่าง ธรรมชาติกับโลกยุคใหม่ (การเข้ามาของยุคอุตสากรรม), Ashotaka ชายหนุ่มผู้จับพลัดจับผลู ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย จึงต้องการค้นหาคำตอบที่ว่า เป็นไปได้หรือเปล่าที่ มนุษย์กับธรรมชาติจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
Mononoke (物の怪 หรือ もののけ) ไม่ใช่ชื่อของนางเอกนะครับ แต่เป็นคำที่เรียก วิญญาณ/สัตว์อสูร, ส่วน Mononoke Hime คือฉายาเรียกโดยมนุษย์ของ San เด็กหญิงที่เติบโตโดยหมาป่า อนิเมชั่นเริ่มต้นสร้างในเดือน กรกฎาคม 1995 ใช้การวาดมือแบบ Traditional ลงบนแผ่น Cels ทั้งหมด, เห็นว่า Miyazaki วาดเองประมาณ 80,000 แผ่น
จากทั้งหมด 144,000 แผ่น และมีประมาณ 10 นาทีที่ต้องใช้ Computer Graphic ช่วย (เพราะจะได้ทันฉายตามกำหนด) เริ่มต้นเรื่อง ยามที่หอคอยสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างในป่า จากนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตประหลาดวิ่งออกมา มีลักษณะคล้ายหมูป่า ผิวหนังปกคลุมไปด้วยสิ่งคล้ายงู เคลื่อนไหวรวดเร็วผิดปกติ มันกำลังจะโจมตีหมู่บ้าน, Ashitaka (Ashi=เท้า ก้าวย่าง,
Ashita=พรุ่งนี้, taka=เหยี่ยว) ชายหนุ่มพยายามล่อลวงสัตว์ประหลาดนี้ให้ไกลคน และจัดการสังหารด้วยธนูสำเร็จ แต่ต้องแลกมาด้วยแขนซ้ายที่กลายเป็นแผลน่าสยดสยอง หญิงเฒ่าผู้รอบรู้ อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น สัตว์ประหลาดนั้นคือ ปิศาจหมูป่ายักษ์ (Boar God) ที่ถูกกระสุนยิงฝังใน ทำให้เกิดความบ้าคลั่ง แต่มันมาจากไหน? ส่วนแขนซ้ายของ Ashitaka นั้นคือคำสาปของปีศาจ ปล่อยไว้จะลุกลามไปทั่วร่างกาย ถูกความชั่ว
เนื้อเรื่อง รีวิว Mononoke
ร้ายกลืนกินจนเสียชีวิต วิธีเดียวที่อาจจะช่วยได้คือ ออกเดินทางสู่ดินแดนตะวันตก หาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ธรรมชาติเกิดความผิดปกติ คำสาปคืออะไรและวิธีใดจะช่วยยกคำสาปได้, ชายหนุ่มออกเดินทาง ขี่ Yakul สัตว์ที่เหมือนม้า มีรูปลักษณ์เหมือนละมั่ง แพะภูเขา เขายาว ที่จงรักภักดีต่อนายมาก
Lady Eboshi (Ebony=ไม้เนื้อแข็งสีดำ เช่น ไม้ตะโก ไม้มะเดื่อ) หญิงสาวที่เปลือกนอกเข้มแข็ง โอหัง หัวกบฎ (ไม่คิดเข้าข้างกับจักรพรรดิ) มีความเฉลี่ยวฉลาด รอบรู้เรื่องการหลอมเหล็ก ทำอาวุธปืน ในโลหะนครของเธอเต็มไปด้วยผู้หญิงที่ถูกกดขี่ และ ผู้ชายที่มักจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้, การมีตัวตนของเธอเปรียบได้กับ วิวัฒนาการของมนุษย์ที่มาถึงจุดสามารถเอาชนะธรรมชาติได้แล้ว คือจุดเริ่มต้นของโลกยุคใหม่ ที่มนุษย์อ้างว่าใช้ชีวิตพึ่งพาธรรมชาติลดลง (จริงๆแล้ว วัตถุดิบ อาทิ เหล็ก,
เชื้อเพลิง, ถ่านหิน ก็ล้วนนำมาจากธรรมชาติ แต่ดันอ้างว่าไม่ได้พึ่งพิงธรรมชาติ ได้ยังไง!), Ashitaka เมื่อได้พบกับ Lady Eboshi สอบถามเหตุผล ว่าทำไมถึงรุกรานธรรมชาติ เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะอยู่ร่วมแบบพึ่งพากันและกัน คำตอบของเธอคือไม่ได้ เพราะความจำต้องเลี้ยงดูแลผู้คนมากมาย อ้างว่าเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของมนุษย์
Eboshi ทาปากสีแดง (ลิปสติก) จะสวมใส่ชุดกิโมโนสีแดงตลอดเวลา (พร้อมด้วยชุดคลุมสีน้ำเงิน ปกปิดอีกชั้น) [ข้างในเธอคงอ่อนไหวมาก ถึงขนาดปกปิดภายนอกทุกอย่างแบบนี้] อาวุธประจำตัวคือปืน และมีดแหลม San (San=สาม, ลูกคนที่ 3) เด็กหญิง ลูกมนุษย์ที่เติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของหมาป่ายักษ์ เผ่าโมโร (Moro) เธอเป็นคนดื้อ หัวรั้น เอาแต่ใจ แต่รักผืนป่า ธรรมชาติบ้านเกิดเป็นที่สุด, San ถือเป็นตัวแทนของธรรมชาติ ใช้ชีวิต ปรับตัว พึ่งพาอาศัยซึ่งกัน
และกัน กับผู้ที่มารุกราน เธอจำต้องต่อสู้ ขัดขวาง ปกป้องมิให้เข้ามาทำลายความสงบของวิถีป่า, Ashitaka เมื่อได้พูดคุยกับแม่ของ San (หมาป่ายักษ์หัวหน้าเผ่า) ถามว่า เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ คำตอบคือ เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์เป็นฝ่ายเริ่มเข้ามารุกรานก่อน พวกเขาจึงต้องตอบโต้ ไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไร
หญิงสาวสวมชุดสีขาว (ข้างในสีน้ำเงิน) จำนวนน้อยชิ้นไม่ปกปิดแขนขา ปกติปากจะไม่ทาอะไร ยกเว้นครั้งหนึ่งที่ดูดเลือดให้แม่ จึงเปื้อนเลือดสีแดง, แก้มสองข้างและหน้าผาก ทาสีแดงเหมือนเขี้ยว (เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าหมาป่า) สวมใส่เครื่องประดับที่เป็นกระดูก คลุมทับด้วยขนสัตว์ ใช้เขี้ยวแทนมีดลับเป็นอาวุธ, พกหน้ากากสีแดง มีหูด้วย เป็นหน้ากากผี ใส่เฉพาะตอนต่อสู้ สวมวิญญาณพงไพร ณ จุดนี้ Ashitaka เข้าใจแล้วว่า คำสาปที่แขนซ้ายของเขา เกิดขึ้นเพราะอะไร?, มันคือ
ผลกระทบ จากความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่แม้จะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้เสียกับฝ่ายไหน แต่กลับได้รับผลเสียหายรุนแรง (ในอนิเมะ Ashitaka คือบุคคลที่ 3 ผู้จับพลัดจับผลูเข้ามาอยู่ระหว่างความขัดแย้ง แต่ถ้ามองในภาพรวม เขาคือตัวแทนของ ประชาชนทุกคนในโลก) แม้ Ashitaka จะอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝั่ง แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้, ไม่สามารถห้าม Eboshi ให้เลิกทำลายป่า (ไม่สามารถห้ามวิวัฒนาการของโลกที่พัฒนาเปลี่ยนไป) หรือห้ามมิให้ San เข้าร่วมฝูงหมูป่าต่อสู้กับมนุษย์ (ไม่สามารถห้ามการ
รีวิว Mononoke
โต้ตอบจากธรรมชาติ อาทิ ภัยพิบัติ), เฉกเช่นเดียวกับ มนุษย์ธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ทำได้แค่มองดู และภาวนาอธิษฐาน ขอให้มันไม่จบเลวร้ายอย่างที่คิดไว้ Forest Spirit/Shishigami/วิญญาณแห่งพงไพร เปรียบได้กับพระเจ้าผู้ให้กำเนิดและความตาย (God of Life and Death) ก้าวหนึ่งทำให้ต้นไม้เติบโตขึ้น เมื่อถอนเท้าออก ต้นไม้เหล่านั้นก็เหี่ยวเฉา, การมีตัวตนของ Shishigami คือการแปรสภาพ
นามธรรมของ ‘ชีวิต’ ให้เป็นรูปธรรม จับต้องได้, สังเกตการออกแบบที่เหมือนเฒ่าทรงภูมิความรู้ (Elk = กวางขนาดใหญ่) หนวดเคราคิ้วยาวขาว เขาเหมือนกิ่งไม้ มีหลากหลายสาขา ใบหน้ามีความสมมาตร ยิ้มตลอดเวลา (หน้าแดงเหมือนหน้าลิง, ตาแดงกล่ำ สีเลือด=ชีวิต) กลางวัน/กลางคืน จะเห็นว่าร่างของ Shishigami เปลี่ยนไป, กลางวันเป็นร่างของกวาง เดินบนผิวน้ำ สามารถจับต้องได้ ส่วนกลางคืนเป็นร่างของสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ (จิตวิญญาณ) มีลักษณะคล้ายของเหลว
โปร่งแสง จับต้องไม่ได้, เหตุที่มีสองร่าง ก็เหมือน หยิน/หยาง เกิด/ตาย ร่างหนึ่งของกาย/ร่างหนึ่งของจิต คือลักษณะของ ‘ชีวิต’ ผลลัพท์ของการต่อสู้ นี่ถือเป็นการพยากรณ์ ความคิดเห็นของ Miyazaki ที่บอกว่า สักวันมนุษย์ก็ย่อมสามารถเอาชนะธรรมชาติได้สำเร็จ (จริงๆถือว่าเอาชนะได้มานานแล้วนะครับ) เปรียบการตัดคอ Shishigami เหมือนการทำลายวัฏจักรชีวิต ซึ่ง
เหมือนการฆ่าตัวตายด้วยน้ำมือของตนเอง, เมื่อชีวิตถูกทำลาย ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเริ่มต้น ไม่มีมนุษย์ ไม่มีสรรพสัตว์ ไม่มีธรรมชาติ ไม่มีเกิด/ตาย การทำลายล้าง (Judgement Day) จึงเกิดขึ้น สัตว์ประหลาดยักษ์ที่ถ้าไม่ถูกหยุด คงจะทำลายโลกให้จบสิ้นลงไป
เมื่อถึงจุดนั้น สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ คือยอมแพ้ศิโรราบ วิ่งหนีให้สุดแรงเกิด แต่คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ!, การส่งคืนส่วนหัว เป็นการยอมรับว่า ‘ชีวิต’ จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัย ไม่มีทางที่มนุษย์จะอยู่ได้โดยไม่พึ่งพาธรรมชาติ … แต่กลับกัน ธรรมชาติอยู่ได้ถ้าไม่มีมนุษย์นะครับ
มันคงดีถ้า มนุษย์อยู่ส่วนมนุษย์ ธรรมชาติอยู่ส่วนธรรมชาติ พบกันกลางทางบ้างบางครั้ง แต่ไม่ใช่รุกรานซึ่งกันและกันตลอดเวลา นี่คือสาสน์ตอนจบที่ Miyazaki ส่งท้าย (เห็นว่าฉากจบนี้ เขาคิดได้ตอนเดือนสุดท้ายก่อนอนิเมะออกฉาย ทีมอนิเม
ชั่นคงเร่งปันงานกันยิกเลยละ) ความสวยงามของอนิเมะเรื่องนี้ นอกจากภาพสวย เนื้อเรื่องแฝงแนวคิดลึกซึ้ง ยังมีอีกสิ่งหนึ่งคือ เพลงประกอบของ Joe Hisashi นักประพันธ์เพลงคู่บารมีของ Hayao Miyazaki ความไพเราะของบทเพลง ประสาน
จากออเครสต้าเต็มวง ใส่ความรู้สึก จิตวิญญาณลงไปในบทเพลง ดังกึกก้อง สั่นสะท้านอยู่ในใจของผู้รับฟัง เวลาผมนั่งเขียนบทความรีวิวหนัง/อนิเมะ มักจะชอบเปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ และ Track ยอดนิยมที่มักกดฟังอยู่บ่อยๆ Princess Mononoke คือหนึ่งในนั้น, กับเพลงที่ผมคิดว่ามีความไพเราะ สวยงามที่สุดของอนิเมะเรื่องนี้คือ
The Journey to the West ณ ขณะที่ Ashitaka ออกเดินทางจากหมู่บ้าน ภาพธรรมชาติระหว่างเดินทางกอปรกับเพลงประกอบนี้ก็ดังขึ้น, มันเป็นกลิ่นอาย บรรยากาศของการผจญภัย เปิดโลกทัศน์ ค้นหาโลกใหม่ เสียงดนตรีจะค่อยๆดังขึ้น พอ
เสียงฉาบใหญ่ดังขึ้น ก็จะถึงจุดสูงสุดของเพลง/ความสวยงามของธรรมชาติที่สุดอลังการ เป็นสุขอิ่มเอิบกับการได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ อันไม่มีที่สิ้นสุด รีวิว อนิเมะ